นักแข่งสุดอาภัพ เพราะอะไรทำไมถึงแทบจะไม่มีโอกาสได้แจ้งเกิดในวงการเลย

นักแข่งสุดอาภัพ

นักแข่งสุดอาภัพ เวลาถกกันว่าใครคือสุดยอดนักกีฬาในกีฬาชนิดนั้น ๆ จำนวนแชมป์ที่ได้มักถูกนำมาวิเคราะห์ประกอบเสมอ นักแข่งสุดอาภัพ

นักแข่งสุดอาภัพ เพราะถือเป็นมาตรวัดความเก่งที่เห็นชัดที่สุด ในวงการ เอฟ 1 ไมเคิล ชูมัคเกอร์ เจ้าของแชมป์ 7 สมัย กับ ลูอิส แฮมิลตัน แชมป์ 6 สมัย อาจเบียดบี้กันมาอย่างสูสี แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่ไม่เคยได้แชมป์จะไม่ได้รับการยกย่องเลย โดยหนึ่งในไม่กี่คนที่ขึ้นไปอยู่ในทำเนียบนั้นอย่างสมศักดิ์ศรี คือนักแข่งชาวอังกฤษระดับตำนาน สเตอร์ลิง มอสส์

สาเหตุที่สเตอร์ลิงมาอยู่ในจุดนี้ได้ เพราะเขาสร้างประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่ประดับวงการมอเตอร์สปอร์ตมากมายจนได้ฉายา “มิสเตอร์มอเตอร์สปอร์ต” ตลอด 14 ปีของการเป็นยอดนักซิ่ง เขาลงแข่งทั้งหมด 529 สนาม สามารถเข้าเส้นชัยเป็นคนแรกได้ถึง 212 สนาม หากนับแค่ เอฟ 1 อย่างเดียว เขาลงแข่ง 66 สนาม และได้ชัยชนะทั้งสิ้น 16 ครั้ง

แต่เมื่อรวมคะแนนสะสมตลอดฤดูกาล เขาก็ไม่เคยไปถึงดวงดาวแห่งแชมป์ เลย ถึงอย่างนั้น ผู้คนก็ยกย่องให้เขาเป็นนักแข่งที่เก่งที่สุดคนหนึ่งในวงการ แถมยังได้รับการยกย่องว่าโดดเด่นกว่านักแข่งรถดีกรีแชมป์โลกหลายคนเสียอีก คนแรกที่น่ายกย่อง

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน ค.ศ. 2020 แฟนกีฬาท้าความเร็วทั่วโลกต้องรับรู้ข่าวเศร้า เมื่อสเตอร์ลิงเสียชีวิตด้วยวัย 90 ปี หลังต่อสู้กับโรคชราและอาการป่วยออด ๆ แอด ๆ มานาน การจากไปของเขาถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องในประวัติศาสตร์ ปี 2020 หลังจากโรคโควิด-19 ทำพิษจนการแข่ง ฤดูกาลที่ 70 ซึ่งเป็นฤดูกาลที่ควรจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ต้องเลื่อนแข่ง โดยไม่รู้ว่าจะได้เปิดสนามเมื่อไหร่กันแน่

สเตอร์ลิง ครอว์เฟิร์ด มอสส์ เกิดเมื่อวันที่ 17 กันยายน ปี 1929 เขาเติบโตในครอบครัวนักกีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกีฬารถแข่ง เพราะพ่อของเขา อัลเฟรด เป็นหมอฟันผู้มีงานอดิเรกคือการแข่งรถ ที่ในยุค 1920s เขาเข้าแข่งรถหลายรายการ หนึ่งในนั้นคือรายการใหญ่อย่าง อินเดียแนโพลิส 500 ที่อัลเฟรดลงแข่งถึง 2 ครั้ง และเข้าเส้นชัยในอันดับดีสุดที่ 14 ส่วน ไอลีน ผู้เป็นแม่ก็ชอบรถซิ่งเช่นกัน และ แพท น้องสาวของสเตอร์ลิงก็เป็นนักแข่งรถแรลลีชื่อดัง

เดิมทีสเตอร์ลิงหลงใหลการขี่ม้ามากกว่า และมีหน่วยก้านดีทีเดียว แต่ต่อมาก็หันเหความสนใจไปสู่กีฬารถแข่งเหมือนคนอื่นในบ้าน ส่วนหนึ่งเพราะสเตอร์ลิงได้รับการปลูกฝังจากพ่อตั้งแต่ยังเด็ก อัลเฟรดมักเอาเขามานั่งบนตักระหว่างขับรถเล่นเสมอ และเมื่อลูกชายอายุครบ 18 ปี หลังมีใบขับขี่เรียบร้อยก็มุ่งมั่นอยากเข้าวงการแข่งรถทันที

ประเดิมด้วยการแข่ง เหล้า 500 และชนะได้ถึง 11 ครั้ง จาก 15 ครั้ง แม้ตอนแรกอัลเฟรดจะไม่ค่อยสนับสนุนให้ลูกเดินทางสายนี้เท่าไหร่ แต่เมื่อเห็นความมุ่งมั่นตั้งใจ เขาก็เปลี่ยนท่าทีมาส่งเสริมและให้กำลังใจลูกชายแทน

ช่วง 2-3 ปีแรก สเตอร์ลิงหาประสบการณ์ด้วยการตะลอนไปทั่วยุโรป ลงแข่งขันให้กับรายการเด่น ๆ มากมายและพิชิตชัยได้หลายสนาม จนแมวมองจากหลายทีมตาลุกวาว ก่อนที่ในปี 1954 ทีม มาเซราตี จะดึงตัวเข้ามาแข่ง ซึ่งสเตอร์ลิงก็ปล่อยของตั้งแต่ปีแรก สามารถขับเคี่ยวกับ ฮวน มานูเอล ฟันจิโอ จากทีม เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งตอนนั้นเป็นแชมป์ 2 สมัย ได้อย่างสูสี

นักแข่งสุดอาภัพ

สนามที่แจ้งเกิดสเตอร์ลิงคือ การแข่งอิตาลี

ซึ่งเขาแซงฟันจิโอและเกือบจะชนะแล้ว แต่เคราะห์ร้ายที่เครื่องยนต์ดันมีปัญหา จนเขาต้องออกจากการแข่งไปก่อนในรอบที่ 68 แต่มันคือสัญญาณบ่งบอกว่าในอนาคตภายหน้า เขาจะกลายเป็นนักแข่งชั้นเซียนอย่างแน่นอน ข่าวโมโตจีพีวันนี้

แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพราะในปี 1955 ถือเป็นปีทองของสเตอร์ลิงเลยก็ว่าได้ เมื่อเขาย้ายไปอยู่ทีม เมอร์เซเดส-เบนซ์ และสามารถเอาชนะรายการ การแข่งขันทางอังกฤษ คว้าชัยใน ได้เป็นครั้งแรก แถมยังเฉือนชนะเพื่อนร่วมทีมอย่างฟันจิโอในเวลาเพียงเสี้ยววินาที สร้างประวัติศาสตร์อีกต่อ ด้วยการเป็นนักแข่งชาวอังกฤษคนแรกที่ได้แชมป์ในบ้านเกิดตัวเอง

ไม่เพียงแค่นั้น ในปีเดียวกันสเตอร์ลิงยังชนะศึก ไมล์ มิเกิล ที่อิตาลี ซึ่งเป็นการแข่งซิ่งระยะทาง 992 ไมล์ ในเวลาเพียง 10 ชั่วโมงนิด ๆ กลายเป็นการแข่งที่สร้างชื่อให้เขามหาศาล นอกจากเข้าเส้นชัยเป็นคนแรก เขายังซิ่งทิ้งห่างอันดับ 2 อย่างฟันจิโอถึง 32 นาที

เป็นสถิติที่ไม่น่ามีใครทำลายลงได้อีกแล้ว ด้านฟันจิโอ ซึ่งเวลาต่อมาจะได้แชมป์ มาครองรวม 5 สมัย เจอความสามารถของเด็กคนนี้เข้าไป ถึงกับยกย่องสเตอร์ลิงเลยว่าเป็นคู่ปรับที่เขาเกรงกลัวที่สุดตลอดอาชีพการแข่งของเขา ดูบอลสด

นับแต่นั้น ไม่ว่าจะลงแข่งในรายการไหน สเตอร์ลิง มอสส์ ก็กลายเป็นเต็งแชมป์ทุกครั้งไป ความสามารถอันเหลือร้ายของเขาทำให้คู่แข่งเสียวสันหลังวาบเสมอ แต่ถึงจะมาแรงแซงโค้ง สเตอร์ลิงกลับไม่เคยจบฤดูกาล ในฐานะแชมป์เลย ทุกปีมักจะมีปัจจัยแทรกซ้อนมาขวางทางแชมป์เสมอ และไปไกลสุดเพียงแค่รองแชมป์ 4 สมัยเท่านั้นในปี 1955-1958

ปีที่สเตอร์ลิงเข้าใกล้แชมป์มากที่สุดคือปี 1958 อันเป็นปีที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะปีนั้นมีนักแข่งเสียชีวิตขณะแข่งถึง 4 คน สเตอร์ลิงในฐานะนักแข่งทีม สามารถเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 1 ได้ถึง 4 สนาม แต่สุดท้ายแชมป์กลับตกเป็นของ ไมค์ ฮอว์ธอร์น นักแข่งเพื่อนร่วมชาติจากทีม เฟอร์รารี่

แม้ว่าฮอว์ธอร์นจะได้ชัยชนะเพียงแค่สนามเดียวก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลเป็นเช่นนี้ เพราะสเตอร์ลิงแข่งไม่จบหลายสนาม ขณะที่ฮอว์ธอร์นประคองตัวเข้าเส้นชัย 5 อันดับแรกบ่อยกว่า จึงเก็บคะแนนที่สเตอร์ลิงทิ้งเรี่ยราดได้มากกว่า กระนั้น การตัดสินแชมป์เกิดการพลิกผันในสนามที่ 9 ของฤดูกาล อย่าง ฮอว์ธอร์น โดนปรับแพ้

แม้ว่าจะเข้าเส้นชัยอันดับที่ 2 ตามหลังสเตอร์ลิง เพราะคณะกรรมการมองว่ามีช่วงหนึ่งที่ฮอว์ธอร์นขับรถออกนอกสนามในจุดที่กำหนดไว้ แต่สเตอร์ลิงซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุ รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตรงนั้น และมองว่าการโดนโทษของฮอว์ธอร์นไม่ยุติธรรม จึงไปอธิบายกับคณะกรรมการว่า

คู่แข่งรายสำคัญไม่ได้ทำผิดกฎอย่างที่ใคร ๆ คิด เป็นผลให้คณะกรรมการตัดสินใจคืนแต้มกลับไปให้ฮอว์ธอร์น และมันเป็นแต้มสำคัญที่จะส่งผลให้สเตอร์ลิงชวดแชมป์เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล น้ำใจนักกีฬาเป็นสิ่งที่นักกีฬาทุกคนต้องมีกันอยู่แล้ว แต่น่าจะมีไม่กี่คนที่กล้าช่วยให้คู่แข่งอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบกว่าตัวเอง หนึ่งในนั้นก็คือสเตอร์ลิง

หลายคนมองว่าการชวดแชมป์ครั้งนั้นเป็นเรื่องน่าเสียดายเพราะเขายึดมั่นมากเกินไป แต่เจ้าตัวไม่เคยเสียใจเลย และให้สัมภาษณ์อยู่บ่อย ๆ ว่า เขาจะเสียใจถ้าได้แชมป์ครั้งนั้นมาครองด้วยการตัดสินโทษผิด ๆ เพราะมันจะทำให้ความหมายของคำว่า “ชัยชนะ” ที่ทุกคนยกย่อง ต้องสูญเสียความน่าเชื่อถือ

หลังจบฤดูกาลดังกล่าว สเตอร์ลิงยังแข่ง ต่อจนถึงฤดูกาล 1961 ช่วงนั้นแม้จะยังคงฟอร์มเก่งกาจ แต่ก็ทำได้มากสุดแค่เพียงครองอันดับ 3 เท่านั้น ก่อนที่ในปี 1962 เขาจะตัดสินใจย้ายไปอยู่กับทีมม้าลำพอง เฟอร์รารี่

อย่างไรก็ตาม กลับเกิดเรื่องไม่คาดคิดก่อน ฤดูกาลนั้นจะเริ่มขึ้น เมื่อเขาไปแข่งชิงถ้วย เป็นการแข่งขันรถสูตรหนึ่ง ในวันที่ 23 เมษายน ให้กับทีม ขณะที่ทุกอย่างเหมือนจะผ่านไปด้วยดี รถของเขาซึ่งกำลังเร่งเครื่องมาอย่างแรงกลับเสียหลักและพลิกคว่ำจนพังยับ ส่งผลให้สเตอร์ลิงได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลเป็นการด่วน

สมัยนั้น การแข่งรถได้ชื่อว่าเป็นกีฬาที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายที่สุด เพราะไม่มีมาตรการป้องกันการบาดเจ็บที่ได้ประสิทธิภาพ อุบัติเหตุเพียงนิดเดียวอาจส่งผลให้นักแข่งตายได้ง่าย ๆ และมันเกิดขึ้นบ่อยมาก โชคดีว่าอุบัติเหตุครั้งนั้นไม่ได้คร่าชีวิตสเตอร์ลิงเหมือนนักแข่งคนอื่น

แต่ก็รุนแรงขนาดส่งให้เขาอาการโคม่าถึง 38 วัน และยังเป็นอัมพาตครึ่งตัวนานครึ่งปี ถึงจะฟื้นฟูร่างกายกลับมาดังเดิม แต่เขาไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป สเตอร์ลิงรู้ดี เพราะเมื่อทดสอบขับรถแล้วพบว่าไม่สามารถควบคุมรถได้ดีเหมือนก่อน สเตอร์ลิงจึงประกาศรีไทร์ บอกลาอาชีพนักแข่งรถด้วยวัยเพียง 34 ปี

Author: admins